พ ระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีชวด ฉศก จุลศักราช ๑๑๖๖ ตรงกับวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๓๔๗ มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ" ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๔๓ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย และที่ ๒ ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ (เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด) และทรงเป็นพระราชนัดดา ในพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้สถาปนา พระบรมราชจักรีวงศ์และสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๗ ได้เสด็จออกผนวชเป็นเวลา ๒๗ พรรษา ระหว่างทรงอยู่ในสมณเพศ ได้สนพระราชหฤทัยศึกษา พระไตรปิฎกจนแตกฉาน ทรงเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ปรากฏ ในพงศาวดารว่า ได้เป็นเปรียญ ในพุทธศักราช ๒๓๙๔ ได้ทรงลาผนวชเนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์ และเสนาบดีผู้ใหญ่ ได้อัญเชิญให้เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีกุน จุลศักราช ๑๒๑๓ ตรงกับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๓๙๔ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามตามที่เฉลิมพระบรมนามาภิไธย จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ สุทธิสมมติเทพยพงษ์ วงษาดิศวร กระษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาษ บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยในการ ศึกษาวิชาการแขนงต่าง ๆ ทั้งด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และวิทยาการสมัยใหม่ของอารยชาติตะวันตก มาตั้งแต ่ครั้งทรงผนวช ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ บาลี สันสกฤต คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการเมือง ในต่างประเทศ ฯลฯ เมื่อเสด็จขึ้น ครองราชย์ ทรงมีพระบรมราโชบายในการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย หลายด้าน ทรงเปิดประเทศให้สามารถมั่นคงดำรงเอกราชอยู่ได้ใน ภาวะที่อิทธิพลของจักรวรรดินิยม ตะวันตกเริ่มแผ่เข้าสู่ภูมิภาค ตะวันออก ทรงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับ ราชสำนักและพระมหากษัตริย์ อาทิ ประเพณีสวมเสื้อเข้าเฝ้า ฯ การชักธงประจำพระองค์และธงชาติ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ชาวต่างประเทศปฏิบัติตามธรรมเนียมของชาติตนโดยยืนเฝ้า ฯ ได้ ในท้องพระโรง โปรดให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์และได้พระราชทาน ตอบแทนแก่ชาวต่างประเทศ นอกจากนี้ ทรงปรับปรุงความสัมพันธ์ ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรให้เข้ากับกาลสมัย เช่น โปรดเกล้า ฯ ให้ราษฎรได้เฝ้าแหนใกล้ชิดและสามารถทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา โดยพระองค์เสด็จออกรับฎีกาทุกวันโกน รวมเดือนละ 4 ครั้ง ทรงริเริ่มประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงร่วมเสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และสาบานว่า จะซื่อสัตย์ต่อพสกนิกรของพระองค์แทนประเพณีเดิม ที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาซึ่งพระมหากษัตริย์ประทับ เป็นประธาน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการถือน้ำกระทำสัตย์แต่ ฝ่ายเดียว ในด้านกฎหมาย ได้มีพระบรมราชโองการ หรือ ประกาศ กฎหมายต่าง ๆ ออกมา เป็นจำนวนมากเพื่อความผาสุก และให้ความเป็นธรรมแก่ อาณาประชาราษฎร์ อาทิ การลดภาษีอากร ลดหย่อนค่านา ยกเลิกการ เก็บอากรตลาด เปลี่ยนเป็นเก็บภาษีโรงร้านเรือนแพจากผู้ค้าขาย รายใหม่ ประกาศมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา ออกพระราชบัญญัติกำหนด ใช้ค่าที่ดินให้ราษฎรเมื่อมีการเวนคืน ออกประกาศเตือนราษฎรให้ รอบคอบในการทำนิติกรรม และที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ทรงออกกฎหมาย กำหนดลักษณะของผู้ที่จะถูกขายเป็นทาสให้ เป็นธรรมยิ่งขึ้น โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลิกกฎหมายเดิมที่ให้ สิทธิบิดา มารดา และสามีในการขายบุตรและภรรยา และตราพระราชบัญญัติ ใหม่ให้การซื้อขายทาส เป็นไปด้วยความยินยอมของเจ้าตัวที่จะถูกขาย เป็นทาสเท่านั้น ในด้านการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ได้ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับ ชาติตะวันตก โดยยึดหลักการประนีประนอมด้วยวิถีทางการทูต ได้ทรง ทำสัญญาทางไมตรีและการค้าในลักษณะใหม่ กับอังกฤษเป็นชาติแรก คือ สนธิสัญญาเบาริ่ง เมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๘ และกับชาติอื่น ๆ ในลักษณะ เดียวกันในเวลาต่อมา ในด้านเศรษฐกิจการค้า ได้โปรดให้ยกเลิกระบบการค้าแบบผูกขาดของ ทางราชการไทย แต่เดิม และแบบบรรณาการกับจีน พระองค์ได้มี พระราชดำริปรับปรุงระบบเงินตราของไทยให้ได้ มาตรฐาน โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งโรงกษาปณ์ขึ้นเพื่อผลิตเหรียญเงินขนาดต่าง ๆ ใช้แทนเงิน พดด้วง ประกาศพิกัดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเพื่อช่วยให้การแลกเปลี่ยน ซื้อขายสินค้าได้คล่องและเป็นสากลขึ้น ในด้านการทหาร ได้โปรดให้มีการจัดระเบียบทหารใหม่ และมีการฝึก ทหาร ตามแบบอย่างตะวันตก ตลอดจนได้โปรดให้มีตำรวจนครบาล ขึ้นเป็นครั้งแรก ในด้านการพระศาสนา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรง ทำนุบำรุง และบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นอย่างมากทรงสร้างและบูรณะ ปฏิสังขรณ์ วัด ปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุ ทรงส่งสมณทูต ไปลังกา ทรงกวดขันความประพฤติของภิกษุ สามเณร ให้อยู่ในพระธรรมวินัย ตลอดจนได้ทรงนำพิธีทางพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องในการพระราชพิธีต่าง ๆ ซึ่งเดิมจัดตามพิธี พราหมณ์เพียงอย่างเดียว เช่น พระราชพิธี บรมราชาภิเษก พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธี โสกันต์ เป็นต้น นอกจากนี้ได้พระราชทานเสรีภาพทางศาสนาแก่ ประชาชนและได้ พระราชทานที่ดินแก่ศาสนิกชนคริสเตียนเพื่อสร้าง โบสถ์ อีกทั้งโปรดให้สร้างวัดถวายเป็นราชพลี แก่พระญวณนิกาย มหายาน ในด้านการศึกษาศิลปวิทยา ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน รวมทั้งทางด้าน ดาราศาสตร์ กล่าวได้ว่าเทียบเท่านักดาราศาสตร์สากล ทรงสามารถคำนวณสุริยุปราคาเต็มดวง ในพุทธศักราช ๒๔๑๑ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เป็นที่เลื่องลือในวงการดาราศาสตร์นานาชาติ ส่วนการศึกษาของอาณาประชาราษฎร์ พระองค์ได้ทรงพัฒนาการศึกษาทั้งของข้าราชสำนัก และประชาชนทั่วไป ทรงใส่พระทัยกวดขันคนไทยให้ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทรงสนับสนุนโรงเรียน ของหมอสอนศาสนาที่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ภาษา อรรถคดี และวิทยาการของชาติตะวันตก โปรดให้จ้างครูสตรีชาวอังกฤษมาสอนภาษาอังกฤษแก่พระราชโอรส ธิดาและสตรีในราชสำนัก และยังได้ทรงพระกรุณาส่งข้าราชการระดับบริหารไปศึกษางานที่จำเป็น สำหรับราชการไทย ณ ต่างประเทศ นอกจากนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้งโรงพิมพ์หลวง ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๑ เรียกว่า "โรงอักษรพิมพการ" ทำหน้าที่ผลิต ข่าวสารของทางราชการเพื่อเผยแพร่ให้ราษฎรได้ทราบทั่วถึงกัน โดยเริ่มพิมพ์หมายประกาศต่าง ๆ มีลักษณะอย่างหนังสือพิมพ์ข่าว ใช้ชื่อว่า "ราชกิจจานุเบกษา" ซึ่งยังคงมีอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบัน โดยหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบจัดพิมพ์ราชกิจจานุเบกษา คือ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติเป็นเวลา ๑๗ ปี ๖ เดือน เสด็จสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑ พระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา มีพระราชโอรส ๓๙ พระองค์ และพระราชธิดา ๔๓ พระองค์ พระราชปรารภ ซึ่งปรากฏตามประกาศเรื่องออกหนังสือ ราชกิจจานุเบกษา ฉบับแรก (แปลงคำอ่านเป็นภาษาปัจจุบัน) ณ วันจันทร์ เดือนห้า ขึ้นค่ำ ๑ ปีมะเมีย ยังเป็นนพศก (พ.ศ. ๒๔๐๑) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ สุทธิสมมติเทพยพงศ์ วงศาดิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิ ราชสังกาศ บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจอมเกล้าเจ้า แผ่นดินสยาม ทรงพระราชดำริตริตรองในการจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้เรียบร้อย สำเร็จประโยชน์ทั่วถึงแลแน่นอนให้ดีขึ้นไปกว่าแต่ก่อน จึงทรงพระราชวิตก ว่าราชการต่าง ๆ ซึ่งสั่งด้วยบัตรหมายแก่กรมวังให้สัสดีแลทะลวงฟันเดินบอก ตามหมู่ตามกรมต่างๆ นั้นก็ดี การที่บังคับนายอำเภอมีหมายป่าวประกาศแก่ ราษฎรในกรุงก็ดี การที่มีท้องตราไปให้เจ้าเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ มีหมายให้ กำนันรั้วแขวงอำเภอประกาศแก่ราษฎรในแขวงนั้นๆ ก็ดี พระราชบัญญัติใหม่ๆ ตั้งขึ้นเพื่อจะห้ามการที่มิควร แลบังคับการที่ควรก็ดี การเตือนสติให้ระลึก แลถือพระราชกำหนดกฎหมายเก่าก็ดี ตั้งขึ้นแลเลิกทิ้งอากรภาษีต่างๆ แล พิกัดภาษีนั้นๆ แลลดหย่อนลงหรือเพิ่มขึ้นพิกัดของในภาษีนั้นๆ ก็ดี การกะเกณฑ์หรือขอแรงแลบอกบุญก็ดี ว่าโดยสั้น โดยย่อเหตุใดๆ การใดๆ ที่ควรข้าราชการทั้งปวง หรือราษฎรทั้งปวงจะพึงทราบทั่วกันนั้นแต่ก่อนเป็น แต่บัตรหมายแลทำคำประกาศ เขียนเส้นดินสอดำ กระดาษส่งกันไปส่งกันมา แลให้ลอกต่อกันไปผิดๆ ถูกๆ แลเพราะฉบับหนังสือนั้นน้อย ผู้ที่จะได้อ่าน ก็น้อยไม่รู้ทั่วถึงกันว่า การพระราชประสงค์ และประสงค์ของผู้ใหญ่ในแผ่นดิน จะบังคับมาแลตกลงประการใด ข้าราชการทั้งปวง แลราษฎรทั้งปวงก็ไม่ทราบ ทั่วกัน ได้ยินแต่ว่ามีหมายว่าเกณฑ์ว่าประกาศว่าบังคับมา เมื่อการนั้นเกี่ยวข้อง กับตัวใครก็เป็นแต่ถามกันต่อไป ผู้ที่อ่านต้นหมายต้นท้องตรานั้นน้อยตัว ถึงจะได้อ่านก็ไม่เข้าใจ เพราะราษฎรเมืองไทยผู้ที่รู้หนังสือนั้นน้อยกว่าที่ไม่รู้ คนไพร่ในประเทศบ้านนอก หนังสือก็อ่านไม่ออก ดวงตราของขุนนางใน ตำแหน่งซึ่งจะบังคับราชการเรื่องอะไร จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้จัก ดูสักแต่ว่าเห็น ดวงตราที่ตีมาด้วยชาด แลเส้นแดงๆ แล้วก็กลัว ผู้ที่ถือมาว่ากระไรก็เชื่อ เพราะฉะนั้นจึงมีคนโกงๆ คดๆ แต่งหนังสือเป็นดังท้องตราบัตรหมายอ้างสั่ง วังหลวงแลวังหน้า แลเจ้านาย แลเสนาบดีที่เป็นที่ราษฎรนับถือยำเกรงแล้ว ก็ว่าการบังคับไปต่างๆ ตามใจตัวปรารถนา ด้วยการที่มิได้เป็นธรรม แลทำให้ ราษฎรเดือดร้อน และเสียพระเกียรติของพระเจ้าแผ่นดิน แลพระนามเจ้านาย แลชื่อขุนนางไป เพราะฉะนั้น บัดนี้ ทรงพระราชดำริจะบำบัดโทษต่างๆ ดังว่ามาแล้วนี้ทุกประการ จึงโปรดให้ตั้งการตีพิมพ์หนังสืออย่างหนึ่ง มีชื่อโดย ภาษาสันสกฤตว่า หนังสือราชกิจจานุเบกษา แปลว่า หนังสือเป็นที่เพ่งดู ราชกิจ เป็นรูปพระมหามงกุฎ แลฉัตรกระหนาบสองข้างดวงใหญ่ ตีในเส้นดำ กับตัวหนังสือนำหน้าเป็นตัวอักษรตัวใหญ่ว่า ราชกิจจานุเบกษา อยู่เบื้องบน บรรทัดทุกฉบับเป็นสำคัญ แจกมาแก่คนต่างๆ ที่ควรจะรู้ทุกเดือนทุกปักษ์ ตั้งแต่ เดือนห้า ปีมะเมีย เป็นที่แปด ในรัชกาลอันเป็นปัจจุบันนั้นไป หนังสือ ราชกิจจานุเบกษา คือการใดๆ ซึ่งได้มีท้องบัตร ใบตราแลบัตรหมาย แลประกาศด้วย หนังสือเขียน เส้นดินสอดำประทับตราตาม ตำแหน่งตาม ธรรมเนียมเท่านั้น ซึ่งได้มีแล้วในปักษ์นั้น หรือปักษ์ที่ล่วงแล้วในเดือน นั้น หรือเดือนที่ล่วงแล้ว ก็จะเก็บ เอาความมาว่าแต่ย่อๆ ในสิ่งซึ่งเป็นสำคัญ เพื่อจะให้เป็น พยานแก่ท้องบัตรใบตราแลบัตรหมายคำประกาศ ซึ่งมีไปแล้ว ก่อนนั้นเพื่อจะให้คนที่ได้อ่านหนังสือก่อนเชื่อแท้แน่ใจ ไม่สงสัย ที่ไม่เข้าใจ ความจะได้เข้าใจ ผู้ใดไม่รู้ความในหนังสือท้องบัตรใบตราบัตรหมายก่อน จะได้รู้ถนัด อนึ่ง ถ้าเหตุแลการในราชการแผ่นดินประการใดๆ เกิดขึ้น พระบาท สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน แลเสนาบดีพร้อมกันบังคับไปอย่างไร บางทีก็จะเล่า ความนั้นใส่มาในราชกิจจานุเบกษานี้บ้าง เพื่อจะได้รู้ทั่วกัน มิให้เล่าลือผิดๆ ไปต่างๆ ขาดๆ เกินๆ เป็นเหตุให้เสียราชการและเสียพระเกียรติยศแผ่นดินได้ หนังสือราชกิจจานุเบกษานี้ เมื่อตกไปอยู่กับผู้ใด ขอให้เก็บไว้อย่า ฉีกทำลายล้างเสีย เมื่อได้ฉบับอื่นต่อไปก็ให้เย็บต่อๆ เข้าเป็นสมุดเหมือน สมุดจีน สมุดฝรั่ง ตามลำดับตัวเลขที่หมาย หนึ่ง สอง สาม สี่ ต่อๆ ไป ซึ่งมีอยู่ทุกหน้ากระดาษนั้นเถิด ขอให้มีหนังสือราชกิจจานุเบกษานี้เก็บไว้ สำหรับจะได้ค้นดูข้อราชการ ต่างๆ ทุกหมู่ทุกกรมข้าราชการ แลทุกหัวเมือง โดยประกาศนี้ เทอญ ประกาศมา ณ วันจันทร์ เดือนห้า ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีมะเมีย ยังเป็น นพศก เป็นวันที่ ๒๔๙๖ ในรัชกาลปัจจุบันนี้ ขุนปฏิภาณพิจิตร ขุนมหาสิทธิโวหาร กรมพระอาลักษณ์เป็นผู้รับรับสั่ง
พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยสังเขป
พระราชปรารภ
ให้ตั้งการตีพิมพ์
ราชกิจจานุเบกษา